รู้จักกับพระเจ้าไหมครับ?

เมื่อเรามองดูสิ่งสารพัดรอบตัวที่พระเจ้าสร้างขึ้น เราจะพบว่าพระองค์มีฤทธานุภาพ เปี่ยมด้วยสง่าราศี และโอ่อ่าตระการตา คริสเตียนทุกคนสามารถรู้จักกับพระเจ้าได้มากขึ้นในแต่ละวัน เพราะพระเจ้าได้เปิดเผยพระองค์เองโดยสมบูรณ์แล้วผ่านทางพระคัมภีร์ครับ

แน่นอนว่าเราไม่สามารถเข้าใจแก่นแท้ของพระเจ้าได้ (สิ่งที่พระองค์ทรงเป็น) ทั้งหมด พระเจ้าเปิดเผยพระองค์เองแก่มนุษย์ที่มีขีดจำกัดผ่านทางพระลักษณะหลายประการของพระองค์เท่านั้นครับ

1. พระเจ้าทรงทราบทุกสิ่ง

(Psalms 139:1)  O LORD, thou hast searched me, and known me.
(Psalms 139:2)  Thou knowest my downsitting and mine uprising, thou understandest my thought afar off.
(Psalms 139:3)  Thou compassest my path and my lying down, and art acquainted with all my ways.
(Psalms 139:4)  For there is not a word in my tongue, but, lo, O LORD, thou knowest it altogether.

(เพลงสดุดี 139:1) โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระองค์ได้ทรงตรวจสอบข้าพระองค์และทรงรู้จักข้าพระองค์
(เพลงสดุดี 139:2) เมื่อข้าพระองค์นั่งลงและลุกขึ้น พระองค์ทรงทราบ พระองค์ทรงประจักษ์ในความคิดของข้าพระองค์ได้แต่ไกล
(เพลงสดุดี 139:3) พระองค์ทรงค้นวิถีของข้าพระองค์และการนอนของข้าพระองค์ และทรงคุ้นเคยกับทางทั้งสิ้นของข้าพระองค์
(เพลงสดุดี 139:4) โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ แม้ก่อนที่ลิ้นของข้าพระองค์จะพูด ดูเถิด พระองค์ก็ทรงทราบความเสียหมดแล้ว

จากพระคัมภีร์ เพลงสดุดี 139:1-4 เราเห็นได้ว่าพระเจ้าทราบถึงทุกสิ่ง พระองค์ทราบถึงความคิด เหตุจูงใจ และจุดประสงค์ทุกอย่างของพวกเรา พระเจ้าทราบถึงทุกสิ่งเกี่ยวกับตัวเราเสมอครับ ไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าไม่ทราบเกี่ยวกับพวกเราเลย พระเจ้ายังรู้ว่าเรานั่งและยืนเมื่อไร

พระองค์ทราบความคิดของเราแม้แต่ไกลด้วยซ้ำ เราจึงโปร่งใสต่อพระพักตร์พระเจ้าอย่างสิ้นเชิงครับ การทรงทราบทุกสิ่งของพระเจ้าไม่เพียงปรากฏให้เห็นเท่านั้น แต่การสถิตอยู่ทุกหนแห่งของพระองค์ด้วย พระเจ้าทรงอยู่ด้วยเสมอ สำหรับคริสเตียนที่เชื่อฟังเต็มที่ต่อน้ำพระทัยของพระองค์ นี่เป็นการปลอบประโลมใจยิ่งใหญ่ครับ

แต่สำหรับคนที่ดำเนินชีวิตในความบาป ก็มีพยานที่มองเห็นความผิดอยู่ตลอดเวลา พระเจ้าทราบทุกสิ่งที่จำเป็นต้องทราบเกี่ยวกับพวกเราทุกคน พระเจ้ายังทราบถึงทุกถ้อยคำที่เราพูด หรือแม้แต่สิ่งที่ยังไม่ได้ออกมาจากปากของเราด้วยซ้ำครับ

2. พระเจ้าทรงฤทธานุภาพทุกประการ

(Matthew 19:26)  But Jesus beheld them, and said unto them, With men this is impossible; but with God all things are possible.

(มัทธิว 19:26) พระเยซูทอดพระเนตรดูพวกสาวกและตรัสกับเขาว่า “ฝ่ายมนุษย์ย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่พระเจ้าทรงกระทำให้เป็นไปได้ทุกสิ่ง”

พระคัมภีร์ข้อนี้แสดงให้เราเห็นว่าพระเจ้ากระทำให้เป็นไปได้ทุกสิ่ง ถึงแม้ว่าสำหรับเราแล้วบางสิ่งอาจดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ แต่พระเจ้าก็เชี่ยวชาญในสิ่งต่างๆที่คนทั่วไปคิดว่าเป็นไปไม่ได้ พระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง ดังนั้นในทางปฏิบัติ คริสเตียนจึงไม่ควรลังเลสงสัยในตัวของพระเจ้าเลย ปัญหาต่างๆที่เราเผชิญในชีวิตไม่ได้ใหญ่ไปกว่าฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าเลยนะครับ แต่หลายครั้งคริสเตียนกลับเป็นกังวลกับสารพัดปัญหาในชีวิตของพวกเขา จนบางครั้งลืมความจริงไปว่าพวกเขามีพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่คอยอยู่เคียงข้างเขาเสมอครับ

3. พระเจ้าทรงอยู่ทุกหนทุกแห่ง

(Psalms 139:7)  Whither shall I go from thy spirit? or whither shall I flee from thy presence?
(Psalms 139:8)  If I ascend up into heaven, thou art there: if I make my bed in hell, behold, thou art there.
(Psalms 139:9)  If I take the wings of the morning, and dwell in the uttermost parts of the sea;
(Psalms 139:10)  Even there shall thy hand lead me, and thy right hand shall hold me.

(เพลงสดุดี 139:7) ข้าพระองค์จะไปไหนให้พ้นพระวิญญาณของพระองค์ได้ หรือข้าพระองค์จะหนีไปไหนให้พ้นพระพักตร์ของพระองค์
(เพลงสดุดี 139:8) ถ้าข้าพระองค์ขึ้นไปยังสวรรค์ พระองค์ทรงสถิตที่นั่น ถ้าข้าพระองค์จะทำที่นอนไว้ในนรก ดูเถิด พระองค์ทรงสถิตที่นั่น
(เพลงสดุดี 139:9) ถ้าข้าพระองค์จะติดปีกแสงอรุณ และอาศัยอยู่ที่ส่วนของทะเลไกลโพ้น
(เพลงสดุดี 139:10) แม้ถึงที่นั่น พระหัตถ์ของพระองค์จะนำข้าพระองค์ และพระหัตถ์ขวาของพระองค์จะยึดข้าพระองค์ไว้

พระเจ้าอยู่ทุกหนแห่ง การสถิตอยู่ทุกหนแห่งของพระองค์ปรากฏชัดเจนตามพระคัมภีร์ข้างต้น กษัตริย์ดาวิดผู้แต่งพระคัมภีร์ดังกล่าวใช้สำนวนแบบกวีกล่าวถึงแสงยามเช้าที่ส่องไปยังทิศตะวันตกเหนือทะเลเมดิเตอร์เรเนียน หากเขาสามารถถูกพาข้ามขอบฟ้าไปยังทิศตะวันตกซึ่งอยู่ห่างไกลได้เหมือนแสงนั้น พระเจ้าเองก็ทรงอยู่ที่นั่นครับ

สำหรับคริสเตียนแล้วแม้ว่าเราจะอยู่ส่วนปลายสุดของแผ่นดินโลก เราก็พบพระหัตถ์ของพระเจ้าที่นั่นได้ พระเจ้าจะนำพาและช่วยเหลือเรา และนี่เป็นพระสัญญามหัศจรรย์ ไม่ว่าเราอยู่แห่งหนใด ขอให้จำไว้เสมอว่า พระเจ้ายังคงอยู่ด้วยกันเสมอเพื่อช่วยเหลือประชาชนของพระองค์ ไม่ว่าเราอยู่แห่งหนใด พระองค์ก็อยู่ที่นั่นเช่นกันครับ

4. พระเจ้าทรงเป็นนิรันดร์

(Psalms 90:2)  Before the mountains were brought forth, or ever thou hadst formed the earth and the world, even from everlasting to everlasting, thou art God.

(เพลงสดุดี 90:2) ก่อนที่ภูเขาทั้งหลายเกิดขึ้นมา ก่อนที่พระองค์ทรงให้กำเนิดแผ่นดินโลกและพิภพ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าตั้งแต่นิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาล

คำว่า “นิรันดร์” ตาม พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 หมายถึง “ตลอดไปไม่เว้นว่าง  ติดต่อกันตลอดไป”  พระคัมภีร์ข้อนี้บอกเราว่าก่อนมีภูเขา แม้แต่แผ่นดินโลก ก็มีพระเจ้าอยู่แล้ว  พระเจ้าเป็นผู้เนรมิตสร้างสิ่งทั้งปวง ตั้งแต่อดีตกาลนิรันดร์ ไปจนถึงอนาคตกาลนิรันดร์  พระองค์เป็นพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นอยู่เสมอมาและพระองค์จะทรงเป็นอยู่เสมอไป

ชาร์ลส สเปอร์เจียน (Charles Spurgeon) นักเทศน์ชื่อดังของลอนดอน ได้เขียนไว้ว่า “พระเจ้าทรงเป็นอยู่ในอดีต ตอนที่ไม่มีสิ่งอื่นใดเลย พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าตอนที่แผ่นดินโลกยังไม่เป็นโลก เมื่อภูเขาทั้งหลายยังไม่ถูกยกขึ้น และการสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกยังไม่เริ่มต้น ในพระองค์ผู้ทรงอยู่เป็นนิรันดร์นี้ มีที่อาศัยอันปลอดภัยสำหรับคนทุกชั่วอายุ”

แอดมิน หวังว่าทุกคนจะได้รู้จักกับพระเจ้ากันมากขึ้นนะครับ

ขอพระเจ้าอวยพรครับ
แอดมิน

อ้างอิง:
The ABC’s of Christians Growth, Robert J. Sargent
ทำความเข้าใจพระคัมภีร์, ดร. เดวิด เอช. โซเร็นสัน

Share

You may also like...

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *