รู้จักกับพระเจ้ากันต่อ
พระคัมภีร์สอนว่าพระเจ้าทรงเป็นบุคคลหนึ่ง นั่นคือ พระองค์ทรงมีบุคลิก
เวลาเราอยากจะสนิทสนมกับใครก็ตาม เราก็ย่อมพยายามศึกษาลักษณะนิสัยของบุคคลนั้นใช่ไหมครับ?
สิ่งที่สำคัญมากสำหรับคริสเตียนหลังได้รับความรอดแล้ว ก็คือการมีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้า ซึ่งเรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบส่วนบุคคลครับ เราได้รับความรอดทันทีตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เชื่อและไว้วางใจในพระเยซูคริสต์ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา
แต่การเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณนั้นต้องใช้เวลา อาศัยความตั้งใจส่วนหนึ่งมาจากตัวของเราด้วย แน่นอนว่าพระเจ้าเองก็สัญญาที่จะช่วยเหลือให้เราเติบโตในฝ่ายจิตวิญญาณเช่นกันเดียวกันครับ
เรามาดูตามข้อพระคัมภีร์กันครับว่าพระเจ้าของคริสเตียนมีบุคลิกอย่างไรกันบ้าง
1. พระเจ้าทรงรัก
(John 3:16) For God so loved the world, that he gave his only begotten Son, that whosoever believeth in him should not perish, but have everlasting life.
(ยอห์น 3:16) เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกยิ่งนัก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ที่บังเกิดมา เพื่อผู้ใดที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์
พระคัมภีร์ข้อนี้บอกว่า พระเจ้าทรงรักโลกยิ่งนัก ความรักของพระเจ้า คือความรักแบบเสียสละตัวเองเพื่อผู้อื่น เป็นความรักที่ไม่เห็นแก่ตัว ให้ความสำคัญต่อความต้องการของผู้อื่นอยู่เสมอ “โลก” ในที่นี้สื่อถึง มนุษย์คนบาปผู้ที่ยังไม่ได้รับความรอดทุกคนครับ ทุกชาติ ทุกภาษา ไม่ว่าอยู่แห่งหนใดก็ตามในแผ่นดินโลกใบนี้
พระเจ้าเข้าใจดีว่าคนบาปทุกคนไม่มีทางที่จะกลับคืนดีกับพระองค์ผ่านการทำความดีได้เลย พูดง่ายๆก็คือ ความดีใดๆก็ตามไม่สามารถที่จะช่วยให้คนบาปเหล่านี้กลับสู่สวรรค์เมื่อตายไปได้ครับ พระเจ้าเห็นถึงความสิ้นหวังของมนุษย์คนบาปเหล่านี้ พระองค์จึงได้จัดเตรียมและประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ซึ่งคือพระเยซูคริสต์ ผู้เสด็จมารับสภาพเนื้อหนังของพระองค์ ใครก็ตามที่หันมาและพึ่งพาพระเยซูคริสต์เป็นความหวังเดียวที่จะได้รับความรอด (จากบึงไฟนรก) ผลลัพธ์ก็คือ “ชีวิตนิรันดร์” แอดมินแนะนำว่า ใครที่ยังไม่เคยอ่านโพส “จะรอดไหมเนี่ย” ก็สามารถย้อนกลับไปอ่านได้ครับ
2. พระเจ้าทรงเกลียด
(Proverbs 6:16) These six things doth the LORD hate: yea, seven are an abomination unto him:
(Proverbs 6:17) A proud look, a lying tongue, and hands that shed innocent blood,(Proverbs 6:18) An heart that deviseth wicked imaginations, feet that be swift in running to mischief,
(Proverbs 6:19) A false witness that speaketh lies, and he that soweth discord among brethren.
(สุภาษิต 6:16) หกสิ่งเหล่านี้พระเยโฮวาห์ทรงเกลียด เออ มีเจ็ดสิ่งเป็นที่น่าสะอิดสะเอียนสำหรับพระองค์
(สุภาษิต 6:17) สายตาที่หยิ่งยโส ลิ้นมุสา และมือที่ทำโลหิตไร้ผิดให้ตก
(สุภาษิต 6:18) จิตใจที่คิดแผนงานชั่วร้าย เท้าซึ่งรีบวิ่งไปสู่ความร้าย
(สุภาษิต 6:19) พยานเท็จซึ่งพูดมุสา และคนผู้หว่านความแตกร้าวท่ามกลางพวกพี่น้อง
คริสเตียนหลายคนอาจไม่ทราบว่าพระเจ้าก็มีสิ่งที่พระองค์เองเกลียดชังเช่นกัน พระองค์ทรงเกลียดชังความบาป เรามาดูกันว่ามีสิ่งใดบ้างครับ ตามข้อพระคัมภีร์ สุภาษิต 6:16-19
สายตาที่หยิ่งยโส มนุษย์ทุกคนล้วนมีความเย่อหยิ่งอยู่ในใจ ใครก็ตามที่วางตัวหยิ่งยโส ทะนงตน บุคคลนั้นย่อมเป็นที่น่าขยะแขยงต่อพระเจ้าครับ
ลิ้นมุสา นี่หมายถึง ลิ้นที่ชอบพูดโกหกอย่างเปิดเผย เราทุกคนล้วนแต่มีใจที่หลอกลวง ยิ่งคนที่ชอบพูดเรื่องไม่จริง โกหกไปทั่วก็เป็นที่น่าสะอิดสะเอียนต่อพระเจ้าครับ
มือที่ทำโลหิตไร้ผิดให้ตก หากจะให้ยกตัวอย่างที่เห็นภาพชัดเจนก็คงเป็นเรื่องของการทำแท้งครับ เด็กที่อยู่ในครรภ์ถือเป็นชีวิตที่พระเจ้าสร้างมา เราไม่มีสิทธิ์ใดๆทั้งสิ้นที่จะยุติชีวิตนั้นครับ
จิตใจที่คิดแผนงานชั่วร้าย พระเจ้าทรงเกลียดชังคนเหล่านี้ที่มีจิตใจคิดแต่แผนการชั่วร้ายในทุกเรื่อง ดังนั้นหากเราไม่อิงมาตรฐานตามพระคัมภีร์แล้ว เราก็ไม่อาจรู้ได้ว่าอะไรดี อะไรชั่วเลยครับ
เท้าซึ่งรีบวิ่งไปสู่ความร้าย พระเจ้าเกลียดชังคนที่ชอบมุ่งหาเข้าไปสู่ความชั่วร้าย อะไรดี อะไรชั่ว ในพระคัมภีร์ได้มีบอกพวกเราทุกคนไว้ครับ
พยานเท็จซึ่งพูดมุสา เป็นที่น่าขยะแขยงต่อพระเจ้า โดยเฉพาะคนเหล่านั้นที่ให้คำพยานเท็จ ซึ่งรวมถึงคนที่สาบานจะพูดความจริงในศาลยุติธรรมและพูดโกหกในคำให้การของตนก็เป็นอะไรที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง
คนผู้หว่านความแตกร้าวท่ามกลางพวกพี่น้อง นี่หมายถึงผู้ที่ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทระหว่างผู้คนที่อยู่กันมาอย่างสงบ คนที่ยุยงให้เกิดความยุ่งยากขึ้นท่ามกลางเพื่อนฝูงก็เป็นที่น่าสะอิดสะเอียนต่อพระเจ้าครับ
3. พระเจ้าทรงโทมนัส (เสียใจ)
(Genesis 6:6) And it repented the LORD that he had made man on the earth, and it grieved him at his heart.
(ปฐมกาล 6:6) และพระเยโฮวาห์ทรงโทมนัสที่พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์บนแผ่นดินโลก และกระทำให้พระองค์ทรงเศร้าโศกภายในพระทัยของพระองค์
หลายคนนึกสงสัยว่า พระเจ้าเองก็เสียใจด้วยเหรอ แอดมิน?
ใช่ครับ เมื่อเราได้อ่านพระคัมภีร์ปฐมกาล บทที่ 6 เราจะได้เห็นถึงความความเสื่อมทรามของมนุษย์ครับ นี่ก็เป็นผลพวงมาจากความความบาปแห่งความไม่เชื่อฟังของอาดัม มนุษย์คนแรกที่พระเจ้าสร้างขึ้น ได้ฝ่าฝืน กินผลจากต้นไม้แห่งความรู้ดีและรู้ชั่ว ซึ่งพระเจ้าเคยเตือนแล้วว่าหากวันใดฝืนกินผลไม้นั้น ในวันนั้นก็จะต้องตายเป็นแน่ (ตายทั้งฝ่ายร่างกาย และวิญญาณ)
พระเจ้าไม่เพียงเสียใจที่มนุษยชาติผู้บาปหนาได้ทำให้ตัวเองเสื่อมทรามเหลือเกินเท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงถูกรบกวนจิตใจเพราะเรื่องนี้ด้วยครับ สำหรับคริสเตียนผู้ได้รับความรอดแล้ว เราเองก็ได้รับคำสั่งตามข้อพระคัมภีร์ เอเฟซัส 4:30 โดย อย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย
(Ephesians 4:30) And grieve not the holy Spirit of God, whereby ye are sealed unto the day of redemption.
(เอเฟซัส 4:30) และอย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย เพราะโดยพระวิญญาณนั้นท่านได้ถูกประทับตราหมายท่านไว้จนถึงวันที่ทรงไถ่ให้รอด
อะไรทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย (เสียใจ) เหรอ แอดมิน?
ความบาปครับ !
แม้แต่คริสเตียนที่ได้รับความรอดแล้ว ก็ยังสามารถเผลอทำบาปลงได้ ทุกคนสามารถย้อนกลับไปอ่านโพส “ทำไงดี ทำบาปแล้ว!” กันได้ครับ
ครั้งหน้าเรามาทำความรู้จักกับพระเจ้ากันต่อครับ
ขอพระเจ้าอวยพรครับ
แอดมิน
อ้างอิง:
The ABC’s of Christians Growth, Robert J. Sargent
ทำความเข้าใจพระคัมภีร์, ดร. เดวิด เอช. โซเร็นสัน
	
																								
																								
																								
																								
																								
																								



 Users Today : 0
 Users Last 30 days : 233
 Total Users : 9280