รู้จักกับพระเจ้า
วันนี้แอดมิน ชวนทุกคนมาดูข้อพระคัมภีร์เพื่อทำความรู้จักกับ “พระเจ้า” ที่คริสเตียนเชื่อกันครับ สิ่งที่สำคัญมากต่อคริสเตียนที่ได้รับความรอดแล้ว ก็คือการรู้จักกับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากขึ้นในทุกๆวัน และเดินตามสิ่งที่พระองค์ได้สอนไว้บนข้อพระคัมภีร์ครับ
หากเราอยากรู้จักใครสักคนเป็นการส่วนตัว เราย่อมใช้เวลากับเขาหรือเธอคนนั้น เพื่อจะได้รู้ว่าชอบอะไร และไม่ชอบอะไร เรารู้จักกับพระเจ้าในแบบที่พระองค์เป็นผ่านการอ่านและศึกษาพระคัมภีร์ พระเจ้าได้เปิดเผยอย่างชัดเจนแล้วผ่านทางข้อพระคัมภีร์ว่าพระองค์เป็นอย่างไร ชอบอะไร และไม่ชอบอะไรครับ
พระเจ้าทรงเป็นอะไร?
1. พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ
(John 4:24) God is a Spirit: and they that worship him must worship him in spirit and in truth.
(ยอห์น 4:24) พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง”
พระคัมภีร์ข้อนี้บอกอย่างชัดเจนว่า พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ นี่เป็นแก่นแท้ของพระเจ้าครับ เป็นความจริงที่พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ เราต้องยอมรับเอาโดยความเชื่อ เพราะว่ามนุษย์เราเองไม่สามารถเข้าใจได้ในทุกสิ่งครับ พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ ในที่นี้หมายถึงพระเจ้าพระบิดาผู้ไม่มีร่างกายเป็นมนุษย์ นอกจากนี้เราเองไม่สามารถมองเห็นพระเจ้าพระบิดาได้ด้วยตาเปล่าเช่นกันครับ
(1 Timothy 1:17) Now unto the King eternal, immortal, invisible, the only wise God, be honour and glory for ever and ever. Amen.
(1 ทิโมธี 1:17) บัดนี้ พระเกียรติและสง่าราศีจงมีแด่พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระเจริญอยู่นิรันดร์ ผู้ทรงเป็นองค์อมตะ ซึ่งมิได้ปรากฏแก่ตา พระเจ้าผู้ทรงพระปัญญาแต่พระองค์เดียว สืบ ๆ ไปเป็นนิตย์ เอเมน
แก่นแท้ของพระเจ้าที่เป็นพระวิญญาณ ทำให้พระองค์ไม่มีข้อจำกัดใดๆทั้งสิ้น เพราะถ้าหากพระเจ้าถูกจำกัดให้มีเพียงสภาพทางกายอย่างเดียว พระองค์ก็ไม่สามารถอยู่ทุกหนทุกแห่งได้ ด้วยความจริงข้อนี้ทำให้เราสามารถนมัสการและอธิษฐานต่อพระเจ้าได้ในทุกสถานที่ ไม่จำเป็นต้องเฉพาะที่โบสถ์ครับ
2. พระเจ้าทรงเป็นความรัก
(1 John 4:8)  He that loveth not knoweth not God; for God is love.
(1 ยอห์น 4:8) ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก
ความรักเป็นคุณลักษณะพื้นฐานของพระเจ้า ความรักในที่นี้คือความรักอันไม่เห็นแก่ตัว เป็นความรักที่พร้อมต่อการเสียสละเพื่อผู้อื่น เหมือนกับตัวอย่างที่พระเยซูคริสต์ (ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้า) ที่ได้ถูกตรึงและตายบนไม้กางเขน เพื่อที่เลือดของพระองค์จะได้ชำระบาปทั้งปวงของมนุษยชาติครับ
พระเยซูคริสต์ไม่มีความบาปใดๆ และไม่จำเป็นต้องได้รับการลงโทษที่ทารุณอย่างการถูกตรึงบนไม้กางเขนครับ แต่อย่างไรก็ตามพระเยซูคริสต์รู้ว่านี่เป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะสามารถไถ่บาปของมนุษย์ได้ ทั้งหมดนี้ก็ด้วยความรักของพระองค์ที่มีต่อคนบาปทุกคนครับ พระเจ้าไม่เคยปรารถนาให้คนหนึ่งคนใดต้องถึงความพินาศและรับโทษทัณฑ์ของความบาปท้ายสุดในบึงไฟนรก นี่แสดงให้เห็นถึงความเมตตาและกรุณาของพระเจ้าครับ
3. พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง
(1 John 1:5)  This then is the message which we have heard of him, and declare unto you, that God is light, and in him is no darkness at all.
(1 ยอห์น 1:5) แล้วนี่เป็นข้อความที่เราได้ยินจากพระองค์ และประกาศแก่ท่านทั้งหลาย คือว่าพระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และไม่มีความมืดอยู่ในพระองค์เลย
แหล่งที่มาของความสว่างทั้งทางกายภาพและทางฝ่ายวิญญาณล้วนแล้วมาจากพระเจ้าครับ พระเจ้าไม่เพียงแต่เป็นผู้สร้างความสว่างเท่านั้น แต่ยังทรงเป็นความสว่างเองด้วย เวลาเราอ่านพระคัมภีร์ เราจะเห็นการเปรียบเทียบของความสว่างได้กับความจริง ความชอบธรรม และความบริสุทธิ์ครับ พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง ย้ำชัดเจนให้เห็นถึงความบริสุทธิ์และการไม่สิ่งมัวหมองใดๆในพระองค์เลยครับ
ในทางกลับกัน ความมืดเปรียบได้กับความโง่เขลา ความบาป และความชั่วร้าย ความจริงในข้อพระคัมภีร์นี้ทำให้เราเห็นว่าพระเจ้าไม่สามารถเข้าไปมีส่วนพัวพันได้เลยกับความบาป ในทางปฏิบัติคริสเตียนทุกคนที่ได้รับความรอดแล้วก็ควรเดินในหนทางที่พระเจ้าสอนไว้ นั่นก็คือหลีกหนีและอยู่ให้ไกลจากบาปครับ แน่นอนว่าเรื่องนี้เราไม่สามารถทำได้ด้วยกำลังของเราเอง แต่ว่าพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ที่สถิตในผู้เชื่อทุกคนจะคอยช่วยเรา เมื่อเราเต็มใจและพร้อมร่วมมือกับพระองค์ครับ
4. พระเจ้าทรงเป็นเพลิงที่เผาผลาญ
(Hebrews 12:29) For our God is a consuming fire.
(ฮีบรู 12:29) เพราะว่าพระเจ้าของเรานั้นทรงเป็นเพลิงที่เผาผลาญ
พระคัมภีร์ข้อนี้กล่าวว่า พระเจ้า ทรงเป็นเพลิงที่เผาพลาญ นี่แสดงให้ถึงภาพของพระเจ้าผู้หวงแหน และไม่ยอมให้ใครแย่งชิงพระเกียรติหรือแม้แต่การเคารพบูชาที่คู่ควรเป็นของพระองค์ครับ ดังนั้นในทางปฏิบัติเราต้องนมัสการพระเจ้าด้วยความเคารพและเชิดชู ไม่แย่งชิงคำสรรเสริญที่เป็นของพระเจ้า มาเป็นของตัวเองครับ
พระคัมภีร์ข้อนี้แสดงให้เห็นถึงความชอบธรรมของพระเจ้า พระองค์ต้องตัดสินและพิพากษาด้วยความยุติธรรม ในชีวิตจริงหากศาลพิจารณาให้ฆาตกรไม่ต้องรับความผิดใดเลย ปล่อยออกไป ไม่ต้องติดคุก ทางครอบครัวผู้เสียชีวิตก็จะแย้งว่าศาลไม่มีความยุติธรรม พระเจ้าเองมีมาตรฐานตัดสินที่สูงกว่ามนุษย์มากครับ ดังนั้นพระเจ้าไม่สามารถปล่อยให้ความบาปใดๆลอยนวลไปได้ เพราะหากเป็นเช่นนั้น ก็ย่อมขัดแย้งกับลักษณะของพระองค์ นี่เลยเป็นเหตุผลง่ายๆที่ทำไมคนบาปทุกคนสมควรแล้วที่ต้องได้รับการพิพากษาโดยพึงไฟนรกครับ
แต่อย่างไรก็ตาม พระเจ้าก็มีทางออกให้กับคนบาปทุกคนแล้ว สำหรับใครที่ยังไม่เคยอ่านโพส “จะรอดไหมเนี่ย” สามารถย้อนกลับไปอ่านได้อีกครั้งครับ
ขอพระเจ้าอวยพรครับ
แอดมิน
อ้างอิง:
The ABC’s of Christians Growth, Robert J. Sargent
ทำความเข้าใจพระคัมภีร์, ดร. เดวิด เอช. โซเร็นสัน
	
																								
																								
																								
																								
																								
																				
																								




 Users Today : 3
 Users Last 30 days : 236
 Total Users : 9283